ด่วน! ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาด “แพทองธาร” สิ้นสุดนายกฯ ครม.พ้นยกชุด

ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาด “แพทองธาร ชินวัตร” สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี เหตุฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง

วันที่ 29 สิงหาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัยในคดีสำคัญตามคำร้องของประธานวุฒิสภา ที่ขอให้ตรวจสอบสถานะความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่าต้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 หรือไม่ จากกรณีถูกกล่าวหาว่าฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
การพิจารณาคดีนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อประธานวุฒิสภายื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยอ้างว่าผู้ถูกร้องมีพฤติกรรมเข้าข่ายการทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในหลายมาตรา รวมถึงอาจเข้าข่ายประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 โดยฝ่ายผู้ร้องได้มอบหมายผู้แทนเข้ามาชี้แจงต่อศาล
ภายหลังการไต่สวนและพิจารณาพยานหลักฐาน ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดลงเฉพาะตัว เนื่องจากการกระทำของผู้ถูกร้องถือเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงโดยอัตโนมัติ และทำให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่งไปด้วย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 167
ทั้งนี้ คำวินิจฉัยดังกล่าวมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ซึ่งเป็นวันที่ศาลมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว

ฝ่ายผู้ร้องยืนยันว่าการกระทำของผู้ถูกร้องเข้าข่ายทุจริต ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญหลายมาตรา และอาจเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ รวมถึงฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ขณะที่ฝ่ายผู้ถูกร้องแย้งว่า การกำหนดนโยบายระหว่างประเทศเป็นกิจการของฝ่ายบริหารโดยตรง ควรอยู่ภายใต้การตรวจสอบทางการเมือง ไม่ใช่การวินิจฉัยของศาล โดยอ้างอิงแนวปฏิบัติของต่างประเทศซึ่งมักจำกัดอำนาจศาลไม่ให้เข้าไปแทรกแซงการใช้ดุลพินิจทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า รัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (3) กำหนดให้ศาลมีอำนาจหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ก็ให้อำนาจศาลวินิจฉัยได้ว่า ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเมื่อมีเหตุตามที่บัญญัติไว้ ไม่ว่าจะเป็นการขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 (4) หรือกระทำการต้องห้ามตามมาตรา 186 และมาตรา 187

ศาล รธน. ชี้คลิปเสียงคุย “ฮุนเซน” ใช้เป็นหลักฐานได้ พิจารณาคุณสมบัติ “แพทองธาร” ขาดความซื่อสัตย์สุจริต
เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัยในคดีที่มีการร้องขอให้ตรวจสอบความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จากกรณีสนทนากับสมเด็จฮุนเซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยผู้ร้องระบุว่าการกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และ (5) ได้แก่ “ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” และ “มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง”
ศาลรัฐธรรมนูญได้เน้นย้ำว่า การพิจารณาคดีนี้ไม่ครอบคลุมถึงข้อกล่าวหาเรื่องความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 แต่อย่างใด อีกทั้งไม่ใช่การตรวจสอบการกำหนดนโยบายระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นกิจการของฝ่ายบริหารที่ต้องรับผิดชอบต่อกลไกการเมือง
คลิปเสียงเป็นหลักฐาน
หนึ่งในประเด็นสำคัญคือการรับฟังคลิปเสียงสนทนาเป็นพยานหลักฐาน ฝ่ายผู้ถูกร้องคัดค้านว่าเป็นพยานที่ได้มาโดยมิชอบ ไม่ได้รับความยินยอม และยังเป็นบทสนทนาที่มีภาษาต่างประเทศซึ่งไม่มีการแปลหรือรับรอง
อย่างไรก็ดี ศาลเห็นว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 27 ให้อำนาจศาลค้นหาความจริงได้อย่างกว้างขวาง เว้นแต่กฎหมายจะห้ามไว้โดยชัดแจ้ง และในกรณีนี้ไม่มีบทบัญญัติใดห้าม ศาลจึงสามารถรับฟังได้ อีกทั้งผู้ถูกร้องเองยอมรับว่าได้กล่าวถ้อยคำในคลิปตามจริง ทั้งในแถลงข่าวและระหว่างการไต่สวน
ศาลยังชี้ว่า ประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นเป็นหลักฐานเป็นถ้อยคำภาษาไทยของผู้ถูกร้องเอง จึงไม่เข้าข่ายต้องจัดทำคำแปลภาษาต่างประเทศทั้งฉบับ
สู่การวินิจฉัยคุณสมบัติ
ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติรับฟังคลิปเสียงดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้ โดยถือเป็นข้อมูลสำคัญในการพิจารณาว่า นางสาวแพทองธาร ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่



