สถานการณ์การเมืองไทยกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง ภายหลังเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากการกระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) กรณีปรากฏคลิปเสียงสนทนากับ สมเด็จฯ ฮุน เซน ผู้นำกัมพูชา
คำวินิจฉัยดังกล่าวส่งผลให้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่างลงทันที และรัฐสภาจำเป็นต้องดำเนินการสรรหาผู้นำรัฐบาลคนใหม่โดยเร่งด่วน ท่ามกลางการจับตาจากทุกภาคส่วนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ทั้งนี้ มีการเปิดเผยรายชื่อ 6 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสมาชิกรัฐสภาในสัปดาห์หน้า ซึ่งถือเป็นการชิงเก้าอี้ผู้นำที่มีเดิมพันสูงสุดในห้วงวิกฤติการเมืองไทยครั้งนี้
ภายใต้สถานการณ์นี้ มีรายชื่อแคนดิเดตอย่างน้อย 6 คน ที่ถูกจับตามองว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำรัฐบาลชุดใหม่
6 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่ถูกจับตามอง
1. ชัยเกษม นิติสิริ (พรรคเพื่อไทย)
- อดีตรัฐมนตรีและทนายความที่มีประสบการณ์ด้านกฎหมายการเมืองยาวนาน
- ข้อจำกัดทางกฎหมาย: ไม่มีประเด็นติดขัดชัดเจน แต่ถูกตั้งคำถามว่านโยบายและภาพลักษณ์อาจไม่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่
- ข้อจำกัดทางการเมือง: พรรคเพื่อไทยอาจต้องพึ่งเสียงสนับสนุนจากพรรคอื่นเพื่อจัดตั้งรัฐบาล
2. อนุทิน ชาญวีรกูล (พรรคภูมิใจไทย)
- มีบทบาทชัดเจนด้านสาธารณสุขและเศรษฐกิจในรัฐบาลที่ผ่านมา
- ข้อจำกัดทางกฎหมาย: ไม่มีปัญหาด้านสิทธิ์ความเป็นนายกรัฐมนตรี
- ข้อจำกัดทางการเมือง: ต้องรวบรวมเสียงจากหลายพรรคและเผชิญแรงกดดันในการสร้างเสถียรภาพรัฐบาลใหม่
3. พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (พรรครวมไทยสร้างชาติ)
- เป็นบุคคลสำคัญในพรรค แต่ฐานเสียงยังไม่กว้างนัก
- ข้อจำกัดทางกฎหมาย: ไม่มีปัญหาชัดเจน แต่ฐานเสียงที่จำกัดคืออุปสรรคสำคัญ
- ข้อจำกัดทางการเมือง: จำเป็นต้องอาศัยพรรคอื่นเพื่อเพิ่มเสียงสนับสนุน
4. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (พรรครวมไทยสร้างชาติ)
- อดีตนายกรัฐมนตรี และปัจจุบันดำรงตำแหน่งองคมนตรีตั้งแต่ปี 2566
- ข้อจำกัดทางกฎหมาย: ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 12 องคมนตรีไม่สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทำให้เกิดข้อกังขาว่าจะกลับมาเป็นนายกฯ ได้หรือไม่
- ข้อจำกัดทางการเมือง: แม้มีฐานเสียงและชื่อเสียง แต่เผชิญข้อถกเถียงเรื่องความชอบธรรมและการคัดค้านจากฝ่ายค้าน
5. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ (พรรคพลังประชารัฐ)
- อดีตรองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
- ข้อจำกัดทางกฎหมาย: ไม่มีประเด็นสำคัญด้านข้อกฎหมาย
- ข้อจำกัดทางการเมือง: แม้จำนวน ส.ส. ของพรรคที่ลดลงจะเป็นอุปสรรค แต่ต้องไม่มองข้าม เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดว่าแคนดิเดตนายกฯ ต้องมาจากพรรคที่มีจำนวน ส.ส. เพียงพอ ซึ่งยังเป็นประเด็นถกเถียงอยู่ว่าจะนับตามจำนวน วันที่ถูกเสนอชื่อ หรือ จำนวนปัจจุบัน หากนับตามวันเสนอชื่อ พรรคพลังประชารัฐของพลเอกประวิตรยังคงมีคุณสมบัติครบถ้วน
6. จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ (พรรคประชาธิปัตย์)
- หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ปัจจุบันพรรคมี ส.ส. 25 คน
- อายุ: 69 ปี
- การศึกษา: ปริญญาตรีรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ปริญญาโท รัฐประศาสนศาสตร์ ม.นิด้า
- ประสบการณ์: เคยเป็น ส.ส.หลายสมัย และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในหลายกระทรวง เช่น รมว.ศึกษาธิการ (รัฐบาลอภิสิทธิ์) และ รมว.พาณิชย์ (รัฐบาลประยุทธ์)
- ข้อจำกัด: ถูกมองว่าควบคุมเสียงในพรรคได้ยาก เนื่องจากมีการแบ่งขั้วกันภายใน
ศึกโหวตนายกฯ คนใหม่ เปิดกติกาเลือกผู้นำ – พรรคประชาชนย้ำ “ยุบสภา-คืนอำนาจให้ประชาชน”
หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา การเมืองไทยเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออีกครั้ง เนื่องจากประเทศจำเป็นต้องหาผู้นำรัฐบาลคนใหม่โดยเร็ว
ขั้นตอนการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี
ตามรัฐธรรมนูญ กติกาการเลือกนายกรัฐมนตรีในที่ประชุมรัฐสภามีรายละเอียดดังนี้
-
พรรคการเมืองต้องเสนอชื่อจากบัญชีแคนดิเดตที่ยื่นไว้กับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก่อนการเลือกตั้ง
-
ต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) อย่างน้อย 1 ใน 10 ของรัฐสภา หรือราว 50 คน ลงนามรับรองชื่อ
-
การโหวตเป็นแบบเปิดเผย ผู้ที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีต้องได้เสียง เกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา หรือ 376 จาก 750 เสียง
-
หากไม่มีผู้ใดได้เสียงเพียงพอ ต้องเริ่มกระบวนการใหม่ หรือหาทางออกทางการเมืองอื่น ๆ
จุดยืนพรรคประชาชน
ด้าน พรรคประชาชน ประกาศจุดยืนชัดเจนว่า จะเข้าร่วมโหวตนายกรัฐมนตรีไม่ว่าผู้ถูกเสนอชื่อจะเป็นใคร แต่มีเงื่อนไขสำคัญคือต้อง ยุบสภา หลังจากได้ผู้นำใหม่ โดยให้เหตุผลว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันขาดทั้งเสถียรภาพและความชอบธรรม พร้อมผลักดันให้เกิดการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ เพื่อคืนอำนาจการตัดสินใจให้ประชาชน
สถานการณ์การเมืองไทย
สถานการณ์ขณะนี้ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เนื่องจากรายชื่อ 6 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกเสนอเข้าสู่การโหวต ต่างมีข้อจำกัดและอุปสรรค ทั้งด้านกฎหมายและแรงต้านทางการเมือง การลงมติของรัฐสภาครั้งนี้จึงถูกจับตาอย่างใกล้ชิดว่าจะเป็นตัวชี้ชะตาทิศทางการเมืองไทยในระยะต่อไป
