จับ 2 บอสจีน เจ้าของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เงินหมุนเวียนกว่าพันล้านฃ
วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 – เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ จับกุมหัวหน้าใหญ่ 2 ราย ผู้บงการอยู่เบื้องหลังเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติที่สร้างความเสียหายให้กับประชาชนจำนวนมาก โดยมีการหลอกลวงผ่านโทรศัพท์และแพลตฟอร์มออนไลน์ ส่งผลให้มีเหยื่อตกเป็นเหยื่อนับพันราย
เจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดเผยว่า หัวหน้าใหญ่ 2 ราย ที่ถูกจับกุมเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ โดยทั้งสองเป็นนักธุรกิจชาวต่างชาติที่ใช้ฐานปฏิบัติการในประเทศเพื่อนบ้าน และควบคุมการดำเนินงานทั้งหมดผ่านระบบ Call Center
จากการสืบสวนพบว่า ผู้ต้องหารายแรก เป็นชายชาวจีน อายุประมาณ 45 ปี ใช้นามแฝงว่า “หลิว หมิง” มีประวัติพัวพันกับขบวนการฟอกเงินและเคยถูกออกหมายจับในประเทศจีนมาก่อน ขณะที่ ผู้ต้องหารายที่สอง เป็นชายชาวไต้หวัน อายุ 42 ปี ใช้นามแฝงว่า “หวัง เจียเหวิน” ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลเครือข่ายบัญชีม้า และจัดการเส้นทางการเงินเพื่อฟอกเงินข้ามประเทศ
ตำรวจอยู่ระหว่างการสอบสวนเพิ่มเติม และเตรียมประสานงานกับหน่วยงานต่างประเทศเพื่อขยายผลไปยังผู้ร่วมขบวนการรายอื่นที่อาจยังหลบหนีอยู่
การสืบสวนและแผนปฏิบัติการจับกุม
การจับกุมครั้งนี้เป็นผลจากการสืบสวนอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 6 เดือน โดยเจ้าหน้าที่สามารถติดตามเส้นทางการเงินของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งมีการหมุนเวียนเงินผ่านบัญชีม้าและแพลตฟอร์มฟอกเงิน พบว่ามูลค่าความเสียหายรวมกว่า 1,500 ล้านบาท
ตำรวจได้ประสานงานกับหน่วยงานสากล เพื่อสืบหาตัวผู้บงการหลักของขบวนการนี้ และพบว่าทั้งสองเป็นนักธุรกิจชาวต่างชาติที่ใช้ฐานปฏิบัติการในประเทศเพื่อนบ้าน ควบคุมการดำเนินงานผ่านระบบ Call Center ที่จ้างงานผู้หลอกลวงให้โทรศัพท์ไปยังเหยื่อในไทย โดยใช้วิธีการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น ตำรวจ ศาล หรือหน่วยงานด้านการเงิน หลอกให้โอนเงินเพื่อเคลียร์ข้อกล่าวหาปลอม หรือเสนอให้ลงทุนในแพลตฟอร์มที่ไม่มีอยู่จริง
เจ้าหน้าที่ได้บุกเข้าจับกุมทั้งสองรายที่บ้านพักหรูในกรุงเทพฯ และสามารถยึดทรัพย์สินหลายรายการ รวมถึงเงินสดกว่า 50 ล้านบาท รถยนต์หรู 7 คัน โฉนดที่ดิน และบัญชีเงินฝากอีกหลายรายการ
รูปแบบการโกงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์
เครือข่ายนี้ใช้หลายวิธีในการล่อลวงเหยื่อ เช่น:
- แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ – โทรศัพท์หาเหยื่อ อ้างว่าเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงิน หรือมีพัสดุต้องสงสัย และหลอกให้โอนเงินเพื่อตรวจสอบ
- ปลอมเป็นบริษัทการเงิน – เสนอสินเชื่อหรือการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง ก่อนหลอกให้เหยื่อโอนเงินเข้าบัญชี
- หลอกให้โหลดแอปพลิเคชันปลอม – ติดตั้งมัลแวร์เพื่อขโมยข้อมูลทางการเงินและดูดเงินจากบัญชี
ผลกระทบและมาตรการป้องกัน
ตำรวจเปิดเผยว่า เครือข่ายนี้สร้างความเสียหายอย่างหนัก มีผู้เสียหายบางรายสูญเงินไปมากกว่าสิบล้านบาท และหลายคนได้รับผลกระทบทางจิตใจ
ขณะนี้ เจ้าหน้าที่กำลังเร่งขยายผลจับกุมผู้ร่วมขบวนการเพิ่มเติม รวมถึงเร่งติดตามเงินที่ถูกโอนออกไปยังต่างประเทศ พร้อมออกคำเตือนให้ประชาชนระมัดระวัง ไม่รับสายจากหมายเลขแปลก ๆ และไม่โอนเงินให้บุคคลที่อ้างเป็นเจ้าหน้าที่โดยไม่ตรวจสอบก่อน
ตำรวจย้ำว่า หากประชาชนสงสัยว่าถูกหลอก สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน 1599 หรือศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้ตลอด 24 ชั่วโมง