ศาลเชียงใหม่ออกหมายจับ “สส.ปูอัด” คดีข่มขืน – สภาฯ จ่อถอนเอกสิทธิ์
![สส.ปูอัด](https://mx7.com/wp-content/uploads/2025/02/สส.ปูอัด-780x470.jpg)
เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2568 ศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้ออกหมายจับนายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ หรือที่รู้จักในชื่อ “สส.ปูอัด” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคไทยก้าวหน้า ในข้อหาข่มขืนกระทำชำเรานักท่องเที่ยวหญิงชาวไต้หวัน เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2568 ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
ประวัติและเส้นทางการเมืองของ “สส.ปูอัด”
นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ อายุ 35 ปี สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีด้านนิเทศศาสตร์จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ และปริญญาตรีรัฐศาสตร์ เอกการเมืองการปกครอง จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง เขาเคยเป็นนักวิจัยผลิตภัณฑ์ UX Research ให้กับแอปพลิเคชัน StartDee และเป็นตัวแทนกลุ่ม Resolution ที่รณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน
ในเส้นทางการเมือง นายไชยามพวานเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร สังกัดพรรคก้าวไกล แต่ถูกขับออกจากพรรคในปี 2566 เนื่องจากมีข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการคุกคามทางเพศต่อทีมงานหญิง หลังจากนั้น เขาได้ย้ายมาสังกัดพรรคไทยก้าวหน้า
เหตุการณ์และข้อกล่าวหาล่าสุด
เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2568 นักท่องเที่ยวหญิงชาวไต้หวันได้เข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ โดยกล่าวหาว่านายไชยามพวานได้ข่มขืนเธอที่โรงแรมแห่งหนึ่งในอำเภอเมือง หลังจากการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน ศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้ออกหมายจับนายไชยามพวานในข้อหาดังกล่าว
เนื่องจากนายไชยามพวานเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การดำเนินคดีต้องได้รับอนุญาตจากสภาผู้แทนราษฎร สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ทำหนังสือถึงสภาผู้แทนราษฎรเพื่อขออนุญาตจับกุมนายไชยามพวาน อย่างไรก็ตาม นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่ายังไม่ได้รับหมายจับดังกล่าว
ปฏิกิริยาและการตอบสนอง
จนถึงขณะนี้ นายไชยามพวานยังไม่ออกมาให้สัมภาษณ์หรือชี้แจงต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับข้อกล่าวหานี้ ทีมงานของเขาได้ระบุว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นการใส่ร้ายและดิสเครดิต และยืนยันว่านายไชยามพวานจะออกมาชี้แจงต่อสื่อมวลชนในเร็วๆ นี้
ผลกระทบและความเคลื่อนไหวในวงการการเมือง
เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของพรรคไทยก้าวหน้าและวงการการเมืองไทยโดยรวม เนื่องจากเป็นกรณีที่เกี่ยวข้องกับความประพฤติของผู้แทนราษฎร ซึ่งควรเป็นแบบอย่างที่ดีต่อสังคม นอกจากนี้ ยังเป็นการตอกย้ำถึงความสำคัญของการตรวจสอบและความโปร่งใสในวงการการเมือง
ขณะนี้ สังคมกำลังจับตาดูการดำเนินการของสภาผู้แทนราษฎรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดการกับกรณีนี้ เพื่อให้เกิดความยุติธรรมและรักษามาตรฐานทางจริยธรรมในวงการการเมืองไทย